5 วิธีในการตรวจสอบสัญญายืมเงินแบบถูกกฎหมาย

การตรวจสอบสัญญายืมเงินเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสัญญาที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรมมีความสำคัญอย่างมาก การทำสัญญายืมเงินถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดหาเงินทุนสำหรับการดำเนินกิจการหรือการประกอบชีวิตประจำวัน ดังนั้นการตรวจสอบสัญญาเพื่อให้แน่ใจว่าสัญญามีความถูกต้องตามกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำให้ดีที่สุด เพื่อความชัดเจน นี่คือวิธีในการตรวจสอบสัญญายืมเงินแบบถูกกฎหมาย 

สิ่งที่ต้องระบุในสัญญากู้ยืมเงิน

สิ่งที่ต้องระบุในสัญญากู้ยืมเงินมักประกอบด้วยข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงิน ซึ่งสิ่งที่ควรระบุได้แก่

  • ข้อมูลส่วนบุคคล: รายละเอียดเกี่ยวกับผู้กู้และผู้ให้กู้ เช่น ชื่อ เลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  
  • จำนวนเงินที่กู้: ระบุจำนวนเงินที่ผู้กู้ต้องการกู้ยืมจากผู้ให้กู้  
  • อัตราดอกเบี้ย: ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระในการกู้ยืมเงิน รวมถึงเงื่อนไขการคำนวณดอกเบี้ยเช่น วิธีการคำนวณ และระยะเวลาที่ใช้ในการคำนวณ  
  • เงื่อนไขการชำระเงิน: ระบุรูปแบบการชำระเงิน รวมถึงระยะเวลาในการชำระ เงื่อนไขการชำระเงินเพิ่มเติม และวิธีการชำระเงินเช่น ผ่านธนาคารหรือบัตรเครดิต  
  • นโยบายเรื่องค่าปรับและค่าธรรมเนียม: ระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในกรณีที่ผู้กู้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน  
  • ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย: ระบุสิ่งที่ผู้กู้ต้องปฏิบัติตามตามกฎหมาย และผู้ให้กู้ตั้งใจระวังในเรื่องนี้ 
  • สิ่งประกัน: ระบุสิ่งประกันหรือสิ่งค้ำประกันที่ผู้กู้ต้องมีเพื่อประกันการคืนเงินกู้  
  • เงื่อนไขเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญา: ระบุเงื่อนไขการยกเลิกสัญญา รวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่สัญญาถูกยกเลิก 

สัญญากู้ยืมเงินควรจะเป็นเอกสารที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความขัดแย้งและความเสี่ยงในอนาคต และให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจและยินยอมตามข้อตกลง 

สัญญายืมเงินแบบถูกกฎหมาย

1. การอ่านและทำความเข้าใจเอกสาร

การตรวจสอบเอกสารเป็นสิ่งสำคัญและให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจก่อนที่จะลงนามในสัญญายืมเงินเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย เอกสารเหล่านี้ประกอบด้วย

  • ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด: อ่านแต่ละส่วนของเอกสารสัญญายืมเงินอย่างละเอียด รวมถึงข้อกำหนดในสัญญา ข้อตกลง และภาระผูกพัน 
  • เข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไข: เข้าใจความหมายของข้อกำหนดและเงื่อนไขแต่ละข้อที่ระบุไว้ในสัญญา และผลที่ตามมาจากการปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว  
  • ทบทวนข้อความที่ซับซ้อน: ตรวจสอบข้อความที่เข้าใจยากหรือซับซ้อน รวมถึงข้อยกเว้นและข้อจำกัดต่างๆ ตลอดจนระเบียบปฏิบัติในการปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว  
  • ขอคำชี้แจงเพิ่มเติม: หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจเรื่องใด ควรสอบถามหาคำอธิบายเพิ่มเติมจากผู้ให้สัญญาหรือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย  
  • ใช้ศัพท์ที่เข้าใจง่าย: ในกรณีที่มีศัพท์ทางกฎหมายหรือศัพท์ที่ซับซ้อน ควรใช้ศัพท์ที่เข้าใจง่ายและเข้าใจได้สำหรับคุณเอง 

ความเข้าใจเอกสารสัญญายืมเงินที่ครอบคลุมและแม่นยำจะอำนวยความสะดวกในการรับประกันการปฏิบัติตามสัญญายืมเงินและการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

2. ตรวจสอบข้อมูลของผู้ให้ยืม

ตรวจสอบประวัติเครดิตของผู้ให้ยืมเงินเพื่อทราบว่าเคยมีประวัติอย่างไร และมีความเสี่ยงในการให้เงินกู้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้และมีความพร้อมในการให้บริการตามที่ระบุในสัญญา การตรวจสอบข้อมูลของผู้ให้ยืมเงินอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณมั่นใจในความเชื่อถือและความเป็นธรรมของผู้ให้ยืมเงินก่อนที่จะทำสัญญาการกู้ยืมเงิน

3. ตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงิน

เมื่อต้องการตรวจสอบเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญายืมเงินเพื่อให้มั่นใจว่ามีความเป็นธรรมและสอดคล้องตามกฎหมาย คุณสามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  • อ่านเงื่อนไขการชำระเงินในสัญญาอย่างละเอียด เช่น อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาของสัญญา และเงื่อนไขการชำระเงินทุกข้อ  
  • ทราบว่ามีการเรียกเก็บค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมใดๆ ในกรณีที่ผิดเงื่อนไขการชำระเงินหรือไม่ 
  • ตรวจสอบว่าเงื่อนไขการชำระเงินมีความชัดเจนและไม่มีความเข้มงวดหรือเน้นเพื่อปกป้องผู้ให้ยืมเงินเกินไปหรือไม่  
  • สอบถามหาข้อยกเว้นหรือข้อจำกัดในการชำระเงิน เช่น การของขวัญหรือค่าส่งเสริมการขายที่มีผลต่อการชำระเงิน  
  • หากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจเงื่อนไขการชำระเงิน ควรสอบถามคำถามหรือขอคำอธิบายเพิ่มเติมจากผู้ให้สัญญา

4. การปฏิเสธเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสม

เมื่อพบเงื่อนไขใดๆ ในสัญญายืมเงินที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม คุณสามารถปฏิเสธและไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้โดยการดำเนินการตามขั้นตอนนี้

  • ทำความเข้าใจเงื่อนไข: อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรมที่ระบุในสัญญาอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจถึงเหตุผลและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น  
  • สื่อสารกับผู้ให้สัญญา: สื่อสารกับผู้ให้สัญญาเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจหรือความไม่ยอมรับต่อเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสม และเสนอให้พิจารณาการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของท่าน  
  • ขอคำปรึกษาจากทนายความ: หากมีความไม่แน่ใจหรือมีความซับซ้อนในเรื่องกฎหมาย เรียกใช้บริการของทนายความเพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการดำเนินการต่อไป  
  • สร้างตัวเลือกอื่น: หากไม่สามารถประสบความเข้าใจหรือหาทางแก้ไขได้กับผู้ให้สัญญา คุณอาจต้องพิจารณาการตัดสินใจในการยกเลิกการทำสัญญา

5. ปรึกษาทนายความ

เมื่อคุณต้องการใช้บริการของทนายความเพื่อความช่วยเหลือในเรื่องกฎหมาย เช่น การปรึกษาเรื่องทางกฎหมายของสัญญายืมเงินหรือการแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย คุณสามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  • ค้นหาทนายความที่เหมาะสม: ค้นหาและเลือกทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่คุณต้องการความช่วยเหลือ โดยใช้ทรัพยากรออนไลน์หรือการสืบค้นจากที่ทำงานของทนายความ  
  • ติดต่อปรึกษา: ติดต่อทนายความที่คุณเลือกเพื่อปรึกษาเรื่องที่คุณต้องการความช่วยเหลือ และกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการพบเพื่อสนทนา  
  • นำเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: นำเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารสัญญา หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่คุณต้องการปรึกษา ไปพบทนายความ  
  • รับคำปรึกษาและคำแนะนำ: ในการพบทนายความ รับฟังคำปรึกษาและคำแนะนำในเรื่องที่คุณต้องการ และสอบถามคำถามเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัย  
  • พิจารณาการดำเนินการต่อ: พิจารณาคำแนะนำและคำปรึกษาที่ได้รับจากทนายความ และพิจารณาการดำเนินการต่อในทางที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ของคุณ

ข้อควรระวังเกี่ยวกับสัญญาการกู้ยืมเงิน

  1. ตรวจสอบจำนวนเงินและทำความคุ้นเคยกับเงื่อนไขของสัญญาก่อนลงนามเสมอ  
  2. ห้ามนำโฉนดที่ดินและหนังสือตอบรับ (น.ส.3) ไปให้เจ้าหนี้เพื่อใช้เป็นหลักประกันเงินกู้  
  3. จะต้องมีสำเนาสัญญาอย่างน้อยสองชุด โดยชุดหนึ่งเก็บไว้โดยผู้ยืม  
  4. ฝ่ายผู้กู้ยืมควรมีพยานลงนามในสัญญาอย่างน้อยหนึ่งคน  
  5. คุณต้องขอใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงินอื่น ๆ ที่มีลายเซ็นของผู้ให้กู้เมื่อชำระหนี้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้ชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว  
  6. เมื่อชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว คุณต้องขอสัญญากู้คืนจากผู้ให้กู้  

บทสรุป

ต้องมีเอกสารสัญญาเงินกู้สำหรับการกู้ยืมจำนวนมากกว่า 2,000 บาท สัญญาจะต้องมีลายเซ็นของผู้ยืม หากไม่มีหลักฐานหรือสัญญาใด ๆ ความสามารถในการยื่นฟ้องบังคับคดีก็จะเสียหาย แม้จะมีความถูกต้องตามกฎหมายของหนี้ก็ตาม

อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่อนุญาตสำหรับเงินกู้คือ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปีหรือ 1.25 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ถ้าเจ้าหนี้กำหนดให้มีอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ให้ถือว่าดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ยกเว้นสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีอำนาจตามกฎหมายในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตราบใดที่เป็นไปตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินกู้ยืมของสถาบันการเงิน

เพื่อนแท้ เงินด่วน

บทความยอดนิยม